ดำดิ่งกับอารมณ์ไปกับ 'Mumford & Sons' บรรเลงรักผ่านเพลง จับใจแฟนในเมืองไทย
ผ่านไปแล้วสำหรับค่ำคืนแห่งความสุข ที่ทุกคนได้ปลดปล่อยอารมณ์ของตัวเอง ไปกับคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในประเทศไทยของวงโฟล์กร็อคเจ้าของรางวัลแกรมมี่จากเกาะอังกฤษ มัมฟอร์ด แอนด์ ซันส์ (Mumford & Sons) ในโชว์สุดพิเศษ "มัมฟอร์ด แอนด์ ซันส์ ไลฟ์ อิน แบงค็อก" (Mumford & Sons Live in Bangkok) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อช่วงค่ำวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่จีเอ็มเอ็ม ไลฟ์ เฮาส์ ชั้น 8 เซ็นทรัลเวิลด์ จัดโดย ไลฟ์ เนชั่น บีอีซี-เทโร (Live Nation BEC-Tero)
งานนี้ 4 หนุ่ม มัมฟอร์ด แอนด์ ซันส์ เปิดเวทีพาแฟนเพลงทั้งไทยและเทศเข้าสู่การแสดงของพวกเขา พร้อมเรียกเสียงกรี๊ดต้อนรับดังกระฮึ่ม ด้วยเพลง สเนค อายส์ (Snake Eyes) จากอัลบั้ม ไวล์เดอร์ มายด์ (Wilder Mind) และต่อด้วยเพลงจากอัลบั้มล่าสุด ไกด์ดิ้ง ไลท์ (Guiding Light) ทันที จากนั้นพวกเขาก็เรียกเสียงกรี๊ดกระฮึ่มจากแฟนเพลงอีกครั้งด้วยการหยิบเพลงจากอัลบั้มแรก ไซห์ โน มอร์ (Sigh No More) อย่าง เดอะ เคฟ (The Cave) เพลงโฟล์กสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์กับเสียงของแบนโจที่ลุ่มลึกมาเล่น ก่อนจะนำเพลง บีเลิฟ (Beloved) จากอัลบั้มล่าสุด เพลง ไวท์ แบลงค์ เพจ (White Blank Page) จากอัลบั้มแรกมาเล่นสลับ ตามด้วยซิงเกิ้ลล่าสุดที่สะท้อนชีวิตคนยุคปัจจุบันได้ดีที่สุดอย่าง ไบลด์ ลีดดิ้ง เดอะ ไบลด์ (Blind Leading the Blind) และอีกหนึ่งเพลงเพราะจากอัลบั้ม บาเบล (Babel) เลิฟเวอร์ ออฟ เดอะ ไลท์ (Love of the Light) ที่มาพร้อมท่อนโซโล่ของแบนโจที่ทำให้อยากฟังอีกเรื่อยๆ จากนั้นก็เพิ่มความมันส์กันต่อด้วยเสียงซินธ์ในเพลง ทอมป์คินส์ สแควร์ พาร์ค (Tompkins Square Park) และ บีลีฟ (Believe) ต่อกันด้วยอีกหนึ่งเพลงฮิตที่ทำแฟนๆ โยกหัวตามจังหวะกันสนุกสนานอย่าง ลิตเทิล ไลออน แมน (Little Lion Man), ดิทมัส (Ditmas), สลิป อะเวย์ (Slip Away) และ เดอะ วูล์ฟ (The Wolf) ก่อนจะสะกดคนดูด้วยเพลงที่เต็มไปด้วยมวลพลังบวก เดลต้า (Delta) พร้อมส่งท้ายค่ำคืนด้วยเพลง โอนลี่ เลิฟ (Only Love), อะเวค มาย โซล (Awake My Soul) ก่อนจะลาคนดูด้วยเพลงพิเศษที่แฟนเพลงรอคอย และช่วยกันร้องตามดังกระฮึ่มฮอลล์อย่าง ไอ วิล เวธ (I Will Wait)
มัมฟอร์ด แอนด์ ซันส์ สามารถพาคนดูเข้าสู่ห้วงอารมณ์อันหลากหลายได้อย่างไร้ข้อกังขา พวกเขาได้พิสูจน์ตัวเองให้แฟนเพลงให้เห็นอีกครั้งว่า พวกเขาเป็นวงดนตรีที่เล่นสดได้สนุกมาก ด้วยการผสมเมโลดี้หวานจากแบนโจเข้ากับซาวด์อิเล็กทรอนิกส์ที่ดิบกว่าได้อย่างลงตัว เมื่อรวมเข้ากับเสียงแหบพร่าที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของ มาร์คัส แล้ว ก็สามารถทำให้ผู้ฟังคล้อยตามความรู้สึกที่พวกเขาจะสื่อได้ไม่ยากเลย